วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ให้ น.ศ. ฟังบรรยายเรื่อง "Online Business with Google" แล้วปฏิบัติดังนี้


Online Business with Google


1. สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการรับฟัง ลงใน WebBlog ของ น.ศ.
        SoLoMo หรือเรียกชื่อเต็มว่า Social Media Location Mobile คือการประยุกต์ใช้ระบบการเชื่อมต่อสื่อสารไร้สายเคลื่อนที่แบ่งปันความคิดเห็นข้อมูลเรื่องสินค้าและบริการผ่านทางระบบสังคมออนไลน์ต่างๆ
       ZMOD ย่อมาจาก ZeroMoment of Truth จุดก่อนกำเนิดของกระบวนการคิดและกระบวนการซื้อสินค้า
       First Moment ofTruth การเริ่มต้นของความสนใจ
       Second Moment ofTruth การเล่าบอกต่อประสอบการ
        1.Get your business online คือการเข้ามามีตัวตนบนโลกออนไลน์ การค้นแล้วเจอ ค้นแล้วมีผลต่อการค้นหา โดยส่วนใหญ่จะใช้ Google ในการค้นหา
       2. Be found – when customer is searching คือ การถูกค้นพบ การถูกค้นหาจาโลกอินเตอร์เน็ต โดยทั่วไป google จะนับค่า Page rang แล้วให้คะแนนแก้เว็บเรา โดยจะมีการให้คะแนน 0 – 10 ถ้าหากมีการเข้าชมมาก แสดงว่าเว็บของเราเป็นที่นิยมจะมีการเพิ่มคะแนนให้
       3. Be reached – show where you are คือ การปรากฏตัวบนแผ่นที่ ผ่านทาง Google maps โดยจะระบุตำแหน่ง การเดินทาง เบอร์โทร ที่อยู่ ไว้ชัดเจน
       4. Get closer to your customers คือ การใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น โดยใช้ google+ โดยจะมีการคุยผ่าน video conference ที่เรียกว่า google + hangout จะให้เราเข้าไปใช้วีดีโอ จะมีการคุย แชร์แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน     
       5. Increase your performance คือการวัดผลของการทำการตลาด
       6. Engage yourcustomer anywhere anytime คือ การค้นหาบนมือถือไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเข้าถึงโฆษณาเราได้ โดยมี Mobile site ที่ได้รับความนิยมมาก
       7.Go Global (AEC) คือการค้นหาที่สามารถค้นหาได้ทั่วโลกคือ google โดยจะใช้ Google Translate ในการช่วยแปลภาษา

2. หาคำศัพท์ที่ได้จากการรับฟังพร้อมหาความหมายเพื่ออธิบายคำศัพท์ดังกล่าว อย่างน้อย 20 คำ แล้วสรุปใน WebBlog

       1. SoLoMo เป็นกลยุทธ์หนึ่งของการตลาดที่วิเคราะห์ากพฤติกรรมของผู้บริโภครูปแบบใหม่ ย่อมาจาก Social Location และ Mobile
       2. ZMOT หรือ Zero Moment of Truth คือการที่ลูกค้าทำความรู้จักกับตัวสินค้าก่อนหน้าที่จะไปถึงร้านค้าจริงอย่างการเริ่มค้นหาข้อมูลสินค้าที่ตัวเองสนใจแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิด ZMOT คือการเติบโตของอินเทอร์เน็ตและเครื่องมือที่ใช้เชื่อมต่ออย่างสมาร์ทโฟนซื่งจะมีการพัฒนาอยู่เสมอ
       3. First Moment of Truth คือ เมื่อเข้าไปในสโตร์แล้วสามารถเห็นสินค้าทันที ส่วน
       4. Second Moment of Truth คือ การที่เราใช้สินค้าแล้วรู้สึกว่าสินค้านี้ตอบโจทย์ ตอบความคาดหวังของเรา
       5. SEO หรือ Search EngineOptimization เป็นการช่วยให้เว็บไซต์ได้ขี้นลำดับต้นๆของผลการค้นหาซึ่งการเลือก keyword เพื่อทำ seo เป็นส่วนที่สำคัญมากขั้นตอนหนึ่งของการทำ seo เพื่อโปรโมทเว็บของคุณ เนื่องจากถ้าเราเลือก keyword ที่ไม่ถูกต้องไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย การทำ seo ก็จะไม่ก่อให้เกิดรายได้ตามมาทำให้ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนทั้งเวลาและเงินที่เสีย
       6. Google friendly คือ นำเสนอหน้าเว็บแรกให้มีคุณภาพสูง หากหน้าเว็บของมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการศึกษาค้นคว้า จะช่วยดึงดูดผู้เข้าชมจำนวนมาก และดึงดูดเว็บมาสเตอร์เพื่อเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของเราในการสร้างประโยชน์เว็บไซต์ที่มีข้อมูลจะเขียนหน้าได้อย่างชัดเจนและถูกต้องอธิบายหัวข้อของเราได้ก่อนเสมอ เกี่ยวกับคำที่ผู้ใช้จะพิมพ์เพื่อค้นหาหน้าเว็บของเรา และรวมคำเหล่านั้นในเว็บไซต์เรา
       7. PageRank คือ อัลกอริทึม ที่ใช้การวิเคราะห์ เว็บลิงก์ ตาม ทฤษฎีเครือข่าย ที่ใช้เป็นพื้นฐานในตัว เสิร์ชเอนจิน ของ กูเกิล โดยเพจแรงก์จะแสดงเป็นค่าตัวเลขบ่งบอกถึงความความสำคัญของข้อมูลในกลุ่มของชุดข้อมูลตัวเลขของเพจแรงก์ของกูเกิลในปัจจุบันจะมีค่าระหว่าง 0 ถึง 10 ( ถูกคำนวณค่าในลักษณะ ลอการิทึม ) แสดงถึงความสำคัญของหน้านั้นบนตัวค้นหาของกูเกิลหน้าที่มีเพจแรงก์สูงจะปรากฏขึ้นมาก่อนหน้าที่มีเพจแรงก์ต่ำค่าของเพจแรงก์ถูกคำนวณจากจำนวนการอ้างถึงจากหน้าอื่นและน้ำหนักของหน้าที่ลิงก์เข้ามาหา
       8.Natural Result ผลเสิร์ชโดยปกติ
       9. malware ( ย่อมาจาก " malicioussoftware") ซึ่งจัดเป็นคำนามรวมหมายถึง ไวรัส หนอนอินเตอร์เน็ตและโทรจัน ที่มีพฤติกรรมรบกวนและสร้างความเสียหายแก่ระบบเครื่องคอมพิวเตอร์
       10. Google AdWords คือ โฆษณาในรูปแบบ pay per click ข้อดี คือ เสียค่าใช้จ่ายตามจริงเมื่อผู้ใช้บริการค้นหาข้อมูลคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเท่านั้นและโฆษณาจะปรากฏให้ผู้ชมเห็นตามคีย์เวิร์ด ( Keyword) หรือกลุ่มคำที่คุณเลือกไว้ซึ่งเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
       11. Keyword คือ คำที่เราเน้นเป็นพิเศษอาจจะเน้นคำเหล่านั้นด้วย การใช้ลิงค์ Link Tag, การใช้ตัวหนา Strong Tag, การใช้ตัวเอียง Italic Tag, การขีดเส้นใต้ Underline Tag เป็นต้นสาเหตุที่เราต้องเน้นคำที่เราต้องการหรือที่เรียกว่า Keyword เพื่อให้ google รู้ว่าเว็บเราต้องการสื่อถึงอะไรและต้องการนำเสนอเนื้อหา Content เกี่ยวกับอะไร แม้ว่าเราจะปรับ Title ของเว็บ Meta Description และ Metal Keyword แล้ว การเน้น Keyword ในบทความ Article ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยเลย และพยายามอย่าสแปมคีย์เวิร์ด ควรเน้น Keyword พอประมาณ ไม่มากจนเกินไป เพราะอาจจะเป็นการ Over Optimize หรือ บางครั้งเรียกว่า Over SEO ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อการทำ SEO ยังโดน Google ส่งเว็บของเราไปอยู่หน้าที่ไม่มีคนเห็นอีก
       12. Search Engine Marketing คือส่วนหนึ่งของ InternetMarketing เป็นการทำการตลาดผ่านเว็บ Search Engine ชื่อดังทั่วโลกได้แก่ Google Yahoo หรือ MSN โดยการทำการตลาดแบบนี้นั้นมุ่งเน้นที่การขึ้นอันดับในอันดีบต้นๆเป็นหลักเพื่อโอกาศที่ผู้เข้าชมเว็บจะเข้าชมเว็บมากขึ้น
       13. Google Maps เป็นเว็บไซต์ค้นหาส่วนหนึ่งของ กูเกิล โดยเน้นที่การค้นหาบริการ และร้านค้าต่างๆโดยการใส่สิ่งที่ต้องการค้นหาเช่น ร้านก๋วยเตี๋ยวหรือ ธนาคาร และ ใส่สถานที่ ที่ต้องการค้นหา เช่น ดาวน์ทาวน์เมืองนิวยอร์กหรือ ถนนเสตทในเมืองชิคาโก แล้วกูเกิลแมปส์จะแสดงผลว่ามีร้านที่ต้องการอยู่จำนวนกี่ร้าน และแสดงตำแหน่งพร้อมเบอร์โทรศัพท์ปัจจุบันมีให้บริการในเฉพาะสหรัฐอเมริกา เว็บไซต์กูเกิลแมปส์ในปัจจุบันยังคงเป็น ซอฟต์แวร์เบต้า ฐานข้อมูลบางส่วนได้ถูกนำมารวมกับ กูเกิลเอิร์ท
       14. Google plus เป็น บริการเครือข่ายสังคม ให้บริการโดย กูเกิล โดยเปิดให้ใช้งานครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ผู้ที่จะเข้ามาทดลองใช้ต้องได้รับเชิญจากบุคคลที่ใช้อยู่เท่านั้น อย่างไรก็ตามระบบการเชิญถูกยุติเนื่องจากมีการใช้งานเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่ระบบจะรองรับได้ ภายหลังในวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554 จึงเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปได้ใช้งาน
       15. Digital Marketing คือ การตลาดแบบดิจิตอลอาจเป็นสื่อ หรือเว็บไซต์ นำมาประยุกต์ใช้ทางการตลาด
       16. ViralMarketing หรือที่รู้จักกันเป็นภาษาไทย ในชื่อ การตลาดแบบไวรัสคือเทคนิคทางการตลาดอย่างหนึ่ง ที่ใช้ Social Network ที่มีอยู่ก่อนแล้วมาเสริมสร้าง ให้เกิดการพบเห็นตราสินค้า (ฺ Brand Awareness) หรือทำเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ทางการตลาด โดยลักษณะการกระจายข่าวสาร ในแบบ Viral Marketing จะเป็นลักษณะเหมือนการบอกแบบปากต่อปาก เพียงแต่ว่าในยุคนี้สื่ออินเตอร์เน็ต เอื้อให้การตลาดแบบไวรัส กระจายตัวได้เร็วกว่าแต่ก่อนมาก
       17. mobile Site คือ หน้าเวป support กับ smartphone
       18. Google Translate เป็นบริการออนไลน์ในการแปลข้อความต่าง ๆหรือ หน้าเว็บ ในภาษาต่าง ๆ ที่ให้บริการโดย บริษัทกูเกิล ในการแปลบางภาษา ผู้ใช้กูเกิล ทรานสเลตได้ถูกขอให้แก้ไขการแปล ในกรณีที่ข้อความผิดพลาด หรือเป็นประโยคซับซ้อนและจะถูกรวมเข้าไปในการแปลในอนาคตด้วย
       19. Global คือ ความทั่วถึง การเข้าถึงทั่วโลก
       20. online business การทำธุรกิจผ่านทางอินเทอร์เน็ต

"SO LO MO" Social Media Location Mobile และ ZMOT



"SO LO MO" Social MediaLocation Mobile 
SoLo Mo หรือเรียกชื่อเต็มว่า Social Media Location Mobile คือการประยุกต์ใช้ระบบการเชื่อมต่อสื่อสารไร้สายเคลื่อนที่แบ่งปันความคิดเห็นข้อมูลเรื่องสินค้าและบริการผ่านทางระบบสังคมออนไลน์ต่างๆเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการระหว่างกันในการเลือกสินค้าและบริการโดยผ่านทางระบบการสื่อสารเคลื่อนที่
So ย่อมาจากคำว่า Social สังคมออนไลน์
Lo ย่อมาจากคำว่า Location สถานที่
Mo ย่อมาจากคำว่า Mobile SmartPhone ,iPhone , Tablet ต่าง ๆ ที่ได้ถูกพัฒนา Application บนมือถือเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดออนไลน์ในอนาคต

ZMOT
ZMOT หรือ Zero Moment of Truth คือการที่ลูกค้าทำความรู้จักกับตัวสินค้าก่อนหน้าที่จะไปถึงร้านค้าจริงอย่างการเริ่มค้นหาข้อมูลสินค้าที่ตัวเองสนใจ แรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิด ZMOT คือการเติบโตของอินเทอร์เน็ตและเครื่องมือที่ใช้เชื่อมต่ออย่างสมาร์ทโฟนซื่งจะมีการพัฒนาอยู่เสมอ


ให้นักศึกษาวิเคราะห์ประเด็นต่อไปนี้ แล้วแสดงความคิดเห็นและตอบคำถามจากประเด็นปัญหาต่อไปนี้



1. สาเหตุใดที่ทำให้ธุรกิจ E-commerce ในประเทศไทย ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
       1. การนำเสนอข้อมูลบนเว็บไซต์ หลายเว็บไซต์ยังขาดทักษะเรื่องของภาษา การนำเสนอขายสินค้าบางครั้งแค่ใส่ขนาดกับราคาเพียงเท่านั้น ขาดรายละเอียดทั้งในเรื่องของวัสดุ การใช้งาน และข้อมูลต่างๆที่ ลูกค้าต้องการเพิ่ม ที่สำคัญ นโยบายรับคืนสินค้า หลายเว็บไซต์มักเกรงปัญหาของคืน จึงไม่ได้ใส่เงื่อนไขสำคัญนี้ในเว็บของตน หรือบางเว็บไซต์ก็ใส่ข้อมูลที่เยอะมากเกินไป กว่าลูกค้าจะคลิกเข้าไปซื้อของได้ก็เสียเวลาเปิดเข้าไปในแต่ละหน้านานมาก
       2. ขาดบุคคลากรที่มีความรู้ การนำเสนอข้อมูลที่ขาดรายละเอียดนั้น บางครั้งมีลูกค้าอีเมล์มาสอบถามเพิ่มเติม แต่บางเว็บไซต์ไม่ได้ตั้งบุคคลากรเพื่อดูแลปัญหานี้ หรือขาดความรู้ในการเข้าถึงเทคโนโลยีมีผู้ประกอบการหลายราย เปิดเว็บไซต์แล้ว ไม่ได้ตรวจอีเมล์ หรือตอบช้าเกินไป
       3. ขาดการวางแผนตลาดรองรับ การมีเว็บไซต์เป็นเสมือนการเปิดร้านแห่งหนึ่งขึ้นบนโลกไซเบอร์ ซึ่งวันหนึ่งๆ มีเว็บเกิดขึ้นเป็นหมื่น หากไม่มีการวางแผนประชาสัมพันธ์ให้กลุ่มเป้าหมายรู้จัก ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ หลายเว็บเกิดขึ้นมาแบบขาดการวางแผน เห็นธุรกิจอื่นมีเว็บกัน ก็แค่อยากมีกับเขาบ้าง
       4. ขาดการส่งเสริมอย่างจริงจัง มีหลายเว็บที่เปิดขึ้นมาแล้ว ขาดการดูแล ผู้ซื้อเข้ามากี่เดือนก็พบรูปแบบเหมือนเดิม ซ้ำโปรโมชั่นเก่าที่เอามาลดราคาก็หมดเขตไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ทำให้เว็บขาดความเชื่อถือดังนั้น เมื่อเปิดเว็บแล้ว ต้องติดตาม ตรวจสอบสถิติ และพัฒนาเว็บไซต์ของตนให้ทันสมัยอยู่เสมอ
       5. หลงเทคโนโลยี การสร้างเว็บไซต์ บางครั้งผู้ประกอบการมักหลงใหลกับความงามของกราฟฟิก ใส่ภาพเคลื่อนไหว เสียงประกอบต่างๆ เข้าไป เพื่อหวังจะเรียกร้องความสนใจของผู้เข้าชม โดยลืมไปว่าสิ่งเหล่านี้ต้องทำให้ผู้ซื้อสินค้าเสียเวลาโหลดนานมากกว่าที่จะ ได้ดูสินค้าแต่ละหน้า
       6. ไม่กำหนดตลาด การที่อินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงคนได้ทั่วโลก ทำให้ผู้ค้าบางรายหวังขายสินค้าไปทั่วโลก ทั้งที่ในโลกการค้า ลักษณะการใช้ภาษาก็ดี, รูปแบบ, ราคาของสินค้าก็ดี ล้วนมีความแตกต่างกันออกไป ดังนั้น เมื่อได้ข้อมูลความต้องการของลูกค้าที่ชัดเจนแล้ว ควรมุ่งเน้นไปยังตลาดกลุ่มเป้าหมาย ดีกว่าการทำตลาดแบบเหวี่ยงแห ซึ่งนอกจากเสียเวลาแล้ว ยังอาจเสียลูกค้าโดยไม่รู้ตัว เช่น หากจะขายเครื่องประดับราคาสูงแล้ว ก็ต้องไม่มีการขายตุ้มหู คู่ละ เหรียญอยู่ในเว็บ เป็นต้น
       7. การออกแบบ การออกแบบเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ควรออกแบบให้ผู้ใช้ เข้าใจได้ง่าย โดยไม่ต้องมีคู่มือประกอบ สามารถค้นหาสินค้าได้สะดวก และชำระเงินได้โดยง่าย บางเว็บไซต์ ผู้ซื้อต้องกรอกข้อมูลมากเกินความจำเป็น ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย และรู้สึกว่าใช้งานลำบาก

2. ถ้าอยากจะให้ระบบการขายสินค้าในรูปแบบ E-commerce ในประเทศไทยประสบความสำเร็จ น.ศ.คิดว่าควรจะต้องประกอบด้วยปัจัยใดบ้าง

       1. กล้าตัดสินใจ ประการแรกที่ต้องทำคือ ค้นคว้าหาข้อมูล สร้างจินตนาการ กลั่นกรอง ความคิด หาช่องทางและโอกาสเมื่อมองเห็น จงกล้าตัดสินใจดำเนินการเพราะธุรกิจนี้ ใช้เงินน้อยมาก เมื่อเทียบกับการเปิดร้านขายสินค้าในห้างสรรพสินค้าหรือตึกแถว ทั่วไปและที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การขายสินค้าบนเว็บนี้สามารถขายให้คนได้ทั่วโลกและมีอากาศทั้งค้าปลีก ค้าส่ง และค้าส่งออกเป็นล็อตใหญ่ ฉะนั้น เมื่อเห็นโอกาสจงอย่ารีรอเป็นอันขาดหน้าที่หลักของท่านคือ การคิดเรื่องการตลาดเมื่อตัดสินใจแล้วหน้าที่หลัก คือ การวางแผนการตลาด คือจะขายให้ใครความต้องการและพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายนั้นเป็นอย่างไร จะวางตำแหน่งสินค้าอย่างไรจะต้องพัฒนาสินค้าอย่างไรเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นจะตั้งราคาสินค้าเท่าใด จะขายผ่านช่องทางใด ตรงไปที่ผู้นำเข้า พ่อค้าส่งพ่อค้าปลีก หรือผู้บริโภคโดยตรง และจะประชาสัมพันธ์เว็บหรือมีรายการส่งเสริมการขายอย่างไร จึงจะเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายสิ่งเหล่านี้มีความสำคัญมากว่า การมีเทคโนโลยีดี ๆ ด้วยซ้ำ
       2. โปรแกรมด้าน E-commerce มีความพร้อมให้ใช้งานอยู่แล้วสำหรับการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นมีให้ใช้โดยทั่วไปอยู่แล้ว เช่น www.ecombot.com ซึ่งมีระบบครบถ้วนสมบูรณ์อยู่แล้วทั้งหน้าร้าน หรือออกแบบเว็บเพจให้มี ระบบออนไลน์แคตาล็อค ระบบตระกร้า หรือ ShoppingCart ระบบรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตแบบ Real-time ระบบติดตามผลการขาย ระบบออกรายงานขาย ระบบลงทะเบียน SearchEngines เป็นต้น ฉะนั้นหน้าที่ของท่านก็เพียงแต่นำเอาข้อมูลสินค้า ราคา รูปภาพที่เตรียมไว้แล้วป้อนเข้าสู่ระบบเท่านั้น ก็สามารถเปิดใช้งานไดทันที
       3. ใช้งบประมาณลงทุนน้อย เงินลงทุนที่ใช้เพียงค่าสมาชิกอินเทอร์เน็ตคอมพิวเตอร์ โมเด็ม และค่าโปรแกรม E-commerce นอกจากนี้ยังมีการซื้อโปรแกรมระบบ E-commerce ในอัตราเดือนละ ไม่ถึง 500 บาทก็เป็นอันเสร็จสิ้น แต่หากท่านไม่มีคอมพิวเตอร์ โมเด็มและไม่ได้เป็นสมาชิกอินเทอร์เน็ต เลยก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ดังนี้ค่าเครื่องคอมพิวเตอร์ประมาณ 25,000 บาท ค่าโมเด็มประมาณ 3,000 บาทและค่าสมาชิกอินเทอร์เน็ตประมาณเดือนละ 500 บาทหรือรวมเบ็ดเสร็จแล้วลงทุนทั้งหมดอยู่ในราว 30,000 บาท
       4. เร่งงานให้เสร็จตามกำหนด เวลา ในการลงมือทำงานแล้วสิ่งสำคัญต้องเร่งทำเดินงานให้เสร็จทันตามเวลา ไม่ควรเรื่องมาก หรือเขียนคิ้วทาปากให้กับเว็บทำการทดสอบสินค้า และราคาก่อนเพราะสาระสำคัญทางการค้ายังมีเรื่องที่ต้องทดสอบอีกมากและก็ไม่มีใครสนใจความสวยงามของเว็บท่านมากนักเพราะเขามาซื้อสินค้าไม่ใช้มาซื้อเว็บของท่าน อย่าลืม "เรียบง่าย ดูดีน่าเชื่อถือ" เป็นสำคัญ

ฟังบรรยายเรื่อง "การทำธุรกิจและการตลาดในยุคดิจิทัล 3.0"

การทำธุรกิจและการตลาดในยุคดิจิทัล 3.0

1.สรุปองค์ความรู้ที่ได้จากการรับฟัง ลงใน Web Blog ของ น.ศ. 
บรรยายเรื่อง "การทำธุรกิจและการตลาดในยุคดิจิทัล 3.0"


      การทำการตลาดในยุคปัจจุบัน จะเน้นการใช้งาน Social Media Social Network มาเกี่ยวข้องในการทำการตลาดออนไลน์ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้รับข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว และทันสมัยยิ่งขึ้น
ประเภทของ Media มี 4 ประเภท
1. Owned Media ประกอบการเป็นผู้สร้างขึ้น เป็นเจ้าของ เช่น web blog เป็นสื่อของเราเอง
2. Faid Media เป็นสื่อที่ต้องมีค่าใช้จ่าย เช่น Banner
3. Earned Media ลูกค้า ผู้บริโภค เป็นเจ้าของ อาจจะเป็น Facebook ที่ได้สร้างขึ้นเอง โดยการแบ่งปันข้อมูล สร้างคอมเม้น
4. Social Media สังคมออนไลน์ 

      ความเปลี่ยนแปลงของผู้ปริโภค
1. Globalization โลกาภิวัตน์
2. Control of media วิธีในการควบคุมการเข้าใช้งานสื่อกลาง
3. Conversations generate exposure เป็นความท่าทายของนักการตลาด ต้องมีการโต้ตอบการสนทนา
4. Transparency - open source ความจริงใจความโปร่งใส
5. Collaboration rules กฎการทำงานร่วมกัน
6. People use technologies แหล่งสุดท้ายที่ผุ้บริโภคจะเข้ามาหาข้อมูล ผู้บริโภคจะเชื่อคนที่ไม่รู้จัก

      ขั้นตอนในการสร้างแบรน
1. ทำยังไงให้คนรู้จักเรา
2. การเข้ามามีส่วนร่วม
3. การทดลองใช้
4. ต้องทำให้ผู้บริโภคชอบ
5. การบอกต่อ

       ยุคของการทำการตลาด
ในยุคแรก ของการตลาดเป็นการซื้อมาขายไป
ยุคที่ 2 ให้ความสำคัญกับ relationship
ยุคที่ 3 การเปิดช่องทางให้ผูบริโภค

2.หาคำศัพท์ที่ได้จากการรับฟังพร้อมหาความหมาย เพื่ออธิบายคำศัพท์ดังกล่าว อย่างน้อย 20 คำ แล้วสรุปใน Web Bblog


       1. Digital Marketing คือ การทำการตลาดและการจัดจำหน่ายสินค้า หรือบริการผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือเครือข่ายโทรคมนาคม ทั้งสินค้าหรือบริการที่จัดจำหน่ายผ่านช่องทางนี้ สามารถจัดส่งได้โดยตรงผ่านเครือข่าย Digital ใช้การ Download หรืออาจใช้ระบบการจัดส่ง (Fulfillment) แบบดั้งเดิม
       2. Social Media สังคมออนไลน์ที่จะช่วยให้คุณหาเพื่อนบนโลกอินเทอร์เน็ตได้ง่ายๆ เราสามารถที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมา และได้ทำความรู้จักกับเพือนหรือคนอื่นๆ และยังสามารถแนะนำตัวเองได้เช่น Hi5,Friendster,MySpace,FaceBook,Orkut,Bebo,Tagged เป็นต้น 
       3. relationship marketing การตลาดแบบมีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า (Customer Relationship Marketing) นั่นเอง การบริการมีส่วนสำคัญในการตลาดแบบมุ่งเน้นความสัมพันธ์ การสร้างมิตรจิตมิตรใจหรือไมตรีจิตผ่านการบริการนั้น จะเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์แบบใกล้ชิด (Intimate relationship) ซึ่งมีคุณลักษณะหรือมีองค์ประกอบ 3 ประการ หรือที่เรียกว่า 5C หรือ 5ส
       4. services marketing
หมายถึง กิจกรรมหรือผลประโยชน์ที่บุคคลหนึ่งเสนอแก่อีกบุคคลหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะคือไม่
สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ และไม่มีผลในการเป็นเจ้าของ โดยอาจจะมีตัวสินค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง
ด้วยหรือไม่ก็ได้
       5. Banner ป้ายโฆษณาสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่สามารถนำไปแสดงผ่านหน้าเว็บไซต์ โดยภายในจะมีเนื้อหา รูปภาพแสดงสินค้าหรือบริการอยู่ และ อาจจะเพิ่มสีสันด้วยการกระพริบ-เคลื่อนไหวของป้ายแบนเนอร์ เพื่อให้ผู้ใช้ internet ที่เข้ามาเห็น เกิดความสนใจที่จะคลิกเข้าไปดูเนื้อหานั้นๆ อาจจะเป็นความสนใจในเนื้อหาของ banner หรือ web site หรือ สินค้าที่ขาย หรือ สนใจในบริการที่มีให้อะไรก็แล้วแต่ แล้วก็กดที่ภาพ "Banner"นั้น เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหน้าเว็บที่ลิ้งค์ไปหา
       6. customer knowledge management การจัดการความรู้ คือ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในส่วนราชการซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด 
       7. Software Park เขตอุตสาหกรรมซอฟแวร์ เปรียบเหมือนนิคมอุตสาหกรรม ถ้าต้องการจะสร้างโรงงาน การไปสร้างในนิคมอุตสาหกรรมก็จะง่ายกว่า เพราะมีพื้นที่ที่เขาเตรียมไว้แล้ว มีสาธารณูปโภคต่างๆให้เรียบร้อย เป็นตึกที่เตรียมสาธารณูปโภคต่างๆ ไว้เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก เช่น พื้นที่ออฟฟิส ห้องประชุม ห้องสัมมนา การให้คำปรึกษาต่างๆ ฯลฯ
       8. Strategic Development การสร้างแบบจำลองสถานการณ์ของกลยุทธ์ในอนาคต โดยอาศัยการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม และการวิเคราะห์ผลประกอบการขององค์กร 
       9. Buzz Marketing การทำการตลาดแบบ Viral Marketing หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า Word of Mouth (ปากต่อปาก) 
       10. Owned Media สื่อที่เราสร้างขึ้นเอง หมายถึง สื่อที่เจ้าของสร้างเอง และสามารถควบคุมการติตต่อสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างทั่วถึง เช่น การพัฒนาเว็บไซต์ บล็อก โซเซียลเน็ตเวิรก์ของตัวเอง หรือ การลงโฆษณาในสื่อต่างๆ (Paid Media) เพื่อใช้ช่องทางในการสื่อสารหลักกับลูกค้าเป้าหมาย 
       11. Earned Media สื่อที่คนอื่นสร้างให้ หมายถึง สื่อที่ลูกค้าภายนอกเป็นผู้สร้างขึ้นมา โดยพูดถึง สนับสนุนสินค้าและแบรนด์ ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ลูกค้ามีส่วนร่วมและพัฒนาภายใต้ความรู้สึกนึกคิดและอัตตาของตนเอง ถือเป็นช่องทางที่ให้ลูกค้าได้สร้างสรรค์และแสดงทัศนคติต่อแบรนด์อย่างชัดเจน 
       12. Social Network คือ สังคมออนไลน์ที่จะช่วยให้คุณหาเพื่อนบนโลกอินเตอร์เนทได้ง่ายๆ เราสามารถที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมา เพื่อแนะนำตัวเองได้ เช่น
• Hi5
• Friendster
• My Space
• Face Book
• Orkut
• Bebo
• Tagged
       13. Cause Marketing การตลาดเพื่อการกุศล การเชื่อมธุรกิจของคุณเข้ากับองค์กรที่ไม่หวังผลกำไร (NGO) หรือองค์กรการกุศลต่างๆ ซึ่ง เป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยส่งเสริมธุรกิจ และมอบสิ่งดีๆกลับคืนสู่สังคมไปด้วยพร้อมๆกัน
       14. CRM ย่อมาจาก Customer Relationship Management คือ การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งหมายถึงวิธีการที่เราจะบริหารให้ลูกค้ามีความรู้สึกผูกพันธ์กับสินค้า ,บริการ หรือองค์กรของเรา เมื่อลูกค้าเค้ามีความผูกพันธ์ในทางที่ดีกับเรา แล้วก็ลูกค้านั้นไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจไปจากสินค้าหรือบริการของเรา ทำให้เรามีฐานลูกค้าที่มั่้นคง และนำมาซึ่งความมั่นคงของบริษัท ดังนั้น การที่จะรู้ซึ้งถึงสถานะความผูกพันธ์กับลูกค้าได้นั้น เราก็ต้องอาศัยการสังเกตุพฤติกรรมของลูกค้า แล้วนำมาวิเคราะห์หาความเกี่ยวข้องระหว่าง พฤติกรรมของลูกค้ากับกลยุทธ์ทางการตลาดของเรา กระบวนการทำงานของระบบ CRM มี 4 ขั้นตอนดังนี้
1.Identify เก็บข้อมูลว่าลูกค้าของบริษัทเป็นใคร เช่น ชื่อลูกค้า ข้อมูลสำหรับติดต่อกับลูกค้า
2.Differentiate วิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าแต่ละคน และจัดแบ่งลูกค้าออกเป็นกลุ่มตามคุณค่าที่ลูกค้ามีต่อบริษัท
3.Interact มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อเรียนรู้ความต้องการของลูกค้า และเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะยาว
4.Customize นำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีความเหมาะสมเฉพาะตัวกับลูกค้าแต่ละคน
       15. Marketplace หมายถึง ตลาดสินค้า หรือ อีกความหมายหนึ่ง คือ สถานที่พบปะชุมนุมกัน
       16. Co-Creation กลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้นการปฏิสัมพันธ์(Interaction) เน้นการติดต่อสื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนความคิด ความต้องการความคิดเห็นระหว่างกัน ความร่วมมือนี้อาจเกิดระหว่างธุรกิจกับผู้ริโภคหรือธุรกิจกับธุรกิจ 
       17. service marketing การตลาดบริการ การสนองตอบความต้องการของลูกค้า มักจะคำนึงถึงการบริการควบคู่ไปกับการขาย สินค้าบริการเป็นการกระทำที่เป็นขั้นตอนและแสดงเป็นผลงานออกมาจากผู้ให้บริการส่งให้กับลูกค้า หรือสินค้าบริการเป็นการแลกเปลี่ยนกัน
       18. product innovation เป็นประเภทของนวัตกรรมที่รู้จักกันมากที่สุด คือการพัฒนาสินค้าหรือบริการให้ดีขึ้น ใช้งานง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
       19. mindset กระบวนการทางความคิด การปรับทัศนคติ การปรับความชอบหรือนิสัยหรือการจัดลำดับความคิดของตัวเอง
       20. Viral Marketing การตลาดแบบไวรัส เทคนิคการทำการตลาดที่ใช้สื่อ Social Networks ที่มีอยู่แล้ว เช่น facebook, hi5, และอีกมากมายนับไม่ถ้วน ในการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น หรือ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาดด้านอื่นด้วย